รายงานจาก Utility Bidder บริษัทที่ปรึกษาและประเมินราคาด้านพลังงานจากประเทศอังกฤษ ระบุว่า ‘ประเทศไทยปล่อยก๊าซเรือนกระจก ‘เพิ่มขึ้น’ ร้อยละ 7.43 ต่อปี ในช่วง 60 ปีที่ผ่านมา (1959-2019) โดยมีจำนวนการเพิ่มขึ้นคิดเป็นอันดับสองของโลก’ หรือในอัตรา 3.7 MtCO2 (ล้านตันคาร์บอนไดออกไซด์) ต่อปี โดยข้อมูลในปี 2019 ระบุว่าไทยปล่อยก๊าซเรือนกระจกอยู่ที่ 289.5 MtCO2
หากประเทศไทยยังคงปล่อยก๊าซเรือนกระจกในอัตรานี้ต่อไป ทาง Utility Bidder คาดว่าในปี 2032 หรือในอีก 10 ปีข้างหน้า จะปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์มากถึง 568.9 MtCO2
สำหรับอันดับหนึ่งคือประเทศซาอุดีอาระเบียที่ปล่อยก๊าซเรือนกระจกเพิ่มขึ้นร้อยละ 8.66 ต่อปี และอันดับสามคือประเทศมาเลเซียซึ่งมีอัตราการปล่อยก๊าซเรือนกระจกเพิ่มขึ้นร้อยละ 7.16 ต่อปี โดยข้อมูลทั้งหมดมาจากหน่วยงานที่ชื่อว่าโครงการคาร์บอนโลก (Global Carbon Project)
อย่างไรก็ตาม ในการประชุมรัฐภาคีกรอบอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศครั้งที่ 26 หรือ COP26 ที่กลาสโกวเมื่อเดือนพฤศจิกายน 2021 ที่ผ่านมา นายกรัฐมนตรี พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ได้กล่าวต่อที่ประชุมว่า ไทยสามารถบรรลุเป้าหมายในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในภาคพลังงานและขนส่งได้ถึงร้อยละ 17
จากที่ตั้งเป้าหมายไว้ที่ร้อยละ 7 ภายในปี 2020 ตามแผน NAMA (Nationally Appropriate Mitigation Actions) อีกทั้งยังระบุว่า ไทยพร้อมปล่อยเป็นประเทศก๊าซเรือนกระจกเป็นศูนย์ (Net-Zero GHG emission) ภายในปี 2065 ทำให้ไทยเป็นประเทศแรกๆ ที่จัดส่งเป้าหมายการมีส่วนร่วมของประเทศ (Nationally Determined Contributions : NDC) และได้ส่งยุทธศาสตร์ระยะยาวในการพัฒนาแบบปล่อยก๊าซเรือนกระจกระดับต่ำให้กับกรอบอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ หรือ UNFCCC
นอกจากนี้ รายงานเดียวกันนี้ยังได้ระบุถึงประเทศที่สามารถลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในช่วง 60 ปีที่ผ่านมาได้นั้นมีเพียง 5 ประเทศเท่านั้นคือ 1. กือราเซา (Curaçao) เกาะแถบคาริเบียนที่มีสถานะเป็นดินแดนปกครองตนเองแห่งหนึ่งของราชอาณาจักรเนเธอร์แลนด์ โดยปล่อยลดลงในอัตราร้อยละ 1.78 ต่อปี
อันดับ 2. คือประเทศมอลโดวา (Moldova) ที่มีอัตราการปล่อยลดลงร้อยละ 0.66 ต่อปี อันดับ 3. คือ สหราชอาณาจักรที่ปล่อยก๊าซเรือนกระจกลดลงร้อยละ 0.64 ต่อปี อันดับ 4. คือประเทศยูเครนโดยปล่อยลดลงร้อยละ 0.23 ต่อปี และอันดับที่ 5. คือประเทศเยอรมนีโดยปล่อยลดลงในอัตราร้อยละ 0.12 ต่อปี
หากอุตสาหกรรมของคุณพร้อมที่จะช่วยโลกลดลดก๊าซเรือนกระจก UniCarriersThailand ขอเป็นส่วนหนึ่งในสนับสนุนอุตสาหกรรมคุณด้วย รถฟอร์คลิฟท์ไฟฟ้า BX2 Series ที่มาพร้อมพลังงานสะอาดจากแบตเตอรี่ลิเธียม ไอออล ฟอสเฟต LiFePO4 อายุการใช้งานนาน ให้พลังงานสูง, กระแสคงที่ และชาร์จได้เร็วเพียง 1-2 ชม. ไม่มีไอเคมีที่เป็นอันตรายต่อธรรมชาติ สามารถนำมารีไซเคิลได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสถานการณ์ที่โลกเราต้องเผชิญกับภาวะโลกร้อน การเลือกแบตเตอรี่ลิเธียมไอออนฯมาเป็นแหล่งพลังงาน ของรถฟอร์คลิฟท์พลังงานไฟฟ้านับได้ว่าเป็นทางเลือกที่คุ้มค่าและมีประโยชน์สำหรับโลกใบนี้
Cr.National Geographic Thailand